ไฟฉุกเฉิน ในการรับใบขับขี่ จำเป็นต้องผ่านการทดสอบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมออนไลน์ และการประเมินภาคปฏิบัติ เราจึงกำชับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนให้ปฏิบัติตามกฎจราจรเพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนเราอาจทำผิดกฎจราจรโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตัวอย่างเช่น การใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินของรถ อาจทำให้สับสนได้เมื่อทราบว่าควรใช้เมื่อใด เช่น ในช่วงวันที่ฝนตก เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎจราจร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกฎหมายเบื้องหลังการใช้สัญญาณไฟรถฉุกเฉิน เรามาสำรวจหัวข้อ ไฟรถฉุกเฉิน ด้วยกันและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานที่เหมาะสมให้ดียิ่งขึ้น
ไฟฉุกเฉินของรถทำหน้าที่เป็นไฟเตือน โดยจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับรถซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลทันที เช่น แรงดันน้ำมันต่ำหรือเครื่องยนต์ร้อนจัด หากคุณต้องการชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่มเติม ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากช่างในการติดตั้ง อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับขั้นตอนการติดตั้งที่ถูกต้อง คุณอาจขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญได้ดีที่สุด
ไฟฉุกเฉินรถยนต์หรือที่เรียกว่าไฟหมากหรือไฟกะพริบในประเทศไทยเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ติดตั้งมากับรถยนต์โดยตรงจากโรงงาน ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเพิ่มเติมโดยช่างเทคนิค ไฟฉุกเฉิน สามารถจดจำได้ง่ายเนื่องจากมีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงอยู่ระหว่างช่องระบายอากาศทั้งสองด้าน สามารถเปิดใช้งานไฟได้เฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น และไม่ควรเปิดใช้งานโดยไม่มีสาเหตุที่เหมาะสม
เมื่อทำการกดไฟฉุกเฉิน ไฟกะพริบจะติดที่มุมด้านหน้า และหลังตัวรถ สัญญาณนี้จะแจ้งเตือนผู้ขับขี่รายอื่นถึงลักษณะของสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าไฟกะพริบจะปรากฏในตำแหน่งเดียวกับไฟเลี้ยวของรถ ซึ่งอาจทำให้ผู้ขับขี่รายอื่นเกิดความสับสนได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการชนกัน
สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าไฟฉุกเฉินประเภทใดที่จะใช้ในสถานการณ์ต่างๆ และไม่ว่าจะใช้อย่างถูกกฎหมายหรือไม่ สรุปการใช้ไฟฉุกเฉินได้ดังนี้ การใช้ไฟฉุกเฉินขณะฝนตกหรือขณะข้ามทางแยกเหมาะสมหรือไม่ คำตอบคือไม่ ดังก้อง การใช้สัญญาณไฟฉุกเฉินในสถานการณ์ดังกล่าวอาจสร้างความสับสนอย่างมากให้กับผู้ขับขี่รายอื่นบนท้องถนน
ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุ เช่น รถชนกับเสาไฟฟ้าหรือรถคันอื่น เพื่อให้ละเอียดยิ่งขึ้น เราจะอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่แนะนำให้ใช้ไฟฉุกเฉินในช่วงที่ฝนตกหรือเมื่อข้ามทางแยก เมื่อพูดถึงการขับรถในสภาพอากาศที่ฝนตก หลายคนสงสัยว่าพวกเขาอนุญาตให้ใช้ไฟฉุกเฉินเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยได้หรือไม่ นอกจากนี้ อาจมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำเช่นนั้น
สภาพอากาศที่ฝนตก และการขับขี่สามารถสร้างสภาวะที่ไม่ปลอดภัยบนท้องถนน โดยมีโอกาสที่พื้นผิวจะลื่น และเกิดอันตรายเพิ่มขึ้น การใช้ไฟฉุกเฉินขณะฝนตกอาจเพิ่มความเสี่ยงเหล่านี้ เนื่องจากละอองฝนสามารถสะสมที่ด้านหน้ารถและบดบังการมองเห็น แม้ว่าจะล้างด้วยที่ปัดน้ำฝนแล้วก็ตาม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อทัศนวิสัย และเพิ่มอันตรายในการขับขี่ขณะฝนตก
การเปิดใช้งานไฟฉุกเฉินในรถของคุณอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ขับที่อยู่ข้างหลังคุณได้ เนื่องจากไฟฉุกเฉินกะพริบในตำแหน่งเดียวกับไฟเลี้ยว แม้ว่าไฟกะพริบจะช่วยให้คุณระบุตำแหน่งรถของคุณได้ แต่ก็อาจทำให้คนขับที่อยู่ข้างหลังคุณเกิดความสับสนได้เช่นกัน พวกเขาอาจเข้าใจผิดว่าไฟกะพริบเป็นไฟเลี้ยวหรือไฟฉุกเฉิน
ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทิศทางที่รถของคุณกำลังจะไป ความสับสนนี้อาจส่งผลให้เกิดการชนท้ายได้ สิ่งสำคัญคือต้องใช้ไฟฉุกเฉินด้วยความระมัดระวัง เป็นไปได้ไหมที่คุณจะเปิดใช้งานสัญลักษณ์ไฟฉุกเฉินเพื่อเปิดใช้งานไฟขณะข้ามทางแยก ไม่แนะนำให้ใช้ไฟเตือนขณะข้ามทางแยกในรถของคุณ
เนื่องจากไฟกะพริบหรือสัญลักษณ์ของปุ่มไฟฉุกเฉินอาจทำให้ผู้ขับขี่ในเลนอื่นเกิดความสับสน ซึ่งอาจทำให้พวกเขาตีความทิศทางที่ตั้งใจไว้ของรถผิดไป ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสนในขณะขับขี่คือรถทางขวาจะมองเห็นไฟกะพริบทางด้านขวาเท่านั้น ในกรณีของฉัน ฉันไม่ทราบว่าไฟด้านซ้ายกะพริบด้วย รถทางขวานึกว่าผมจะเลี้ยวขวาเขาเลยเลี้ยวซ้ายแทน
ความเข้าใจผิดนี้นำไปสู่การปะทะกันทำให้สูญเสียทั้งเวลา และทรัพย์สิน จำเป็นต้องพูด มันน่าหงุดหงิด และเสียอารมณ์ เพื่อป้องกันความสับสน ไฟฉุกเฉินของรถควรใช้ในกรณี ควรเปิดใช้งานไฟฉุกเฉินของรถยนต์ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้นตามชื่อของมัน เมื่อใดก็ตามที่จำเป็นต้องจอดรถริมถนนเนื่องจากรถเสีย
การกดสัญลักษณ์ไฟฉุกเฉินจะเป็นการเปิดใช้ไฟกะพริบทันที สัญญาณนี้จะเตือนผู้ขับขี่รายอื่นว่ารถของคุณกำลังมีปัญหา และต้องการความช่วยเหลือ หากผู้ขับขี่รายอื่นสังเกตเห็นว่าไฟเลี้ยวของคุณเปิดอยู่ พวกเขาน่าจะรู้ว่าคุณกำลังรอเจ้าหน้าที่ประกันภัยรถยนต์มาถึง เป็นผลให้พวกเขาอาจพยายามขับรถออกจากที่เกิดเหตุหรือชะลอความเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อื่นๆ ขึ้นและป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง
เมื่อมีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายฉุกเฉินด้านอัคคีภัย บทลงโทษคืออะไร และการกระทำนั้นถือว่าผิดกฎหมาย ห้ามเปิดไฟฉุกเฉินบนยานพาหนะ กฎหมายใดห้ามการกระทำนี้ และมีบทลงโทษ จำนวนเงินค่าปรับสำหรับความผิดนี้เป็นจำนวนเท่าใด ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การเปิดใช้ไฟฉุกเฉินในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมหรือการไม่เปิดใช้งานเมื่อจำเป็นอาจนำไปสู่อุบัติเหตุ และผลทางกฎหมายเราขอทราบความกระจ่างในเรื่องนี้โดยอ้างกฎหมายจราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยเฉพาะมาตรา 11 และมาตรา 56 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ตามกฎหมายมาตรา 11 หากรถจอดในบริเวณที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นรถคันอื่นหรือคนเดินถนนได้ชัดเจน ผู้ขับขี่ต้องแน่ใจว่าผู้ขับขี่รายอื่นบนถนนยินยอมให้เปิดไฟตั้งแต่ 150 ขึ้นไป เมตร หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท ตามกฎหมายมาตรา 59 กรณีที่รถชำรุดในทางเดินรถ ให้นำรถออกจากช่องจราจร ในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ ควรจอดรถไว้ข้างถนนโดยเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ขับขี่รายอื่นทราบว่าจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1,000 บาท
แม้ว่าค่าปรับที่ไม่เปิดไฟฉุกเฉินอาจดูเล็กน้อยเพียง 1,500 บาท แต่เราระบุว่าผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อนี้มีค่ามากกว่านั้นมาก หากคนขับไม่เปิดไฟฉุกเฉินเมื่อรถเสีย คนขับที่อยู่ข้างหลังอาจมองไม่เห็นรถที่จอดอยู่และชนเข้ากับรถ ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
แม้ว่าปัญหาเริ่มต้นจะเล็กน้อย เช่น ยางแบน ความเสียหายที่ตามมาอาจรุนแรง และมีค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมแซม แม้จะมีประกันที่ครอบคลุมก็ตาม ดังนั้นจึงแนะนำให้เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าวและเพื่อประหยัดเวลาสำหรับทั้งผู้ขับขี่ และผู้ขับขี่รถยนต์คันอื่น
ในกรณีฉุกเฉิน เช่น รถเสีย จำเป็นต้องเปิดไฟฉุกเฉินของรถ สิ่งนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ไฟกะพริบทำหน้าที่เป็นสัญญาณให้ผู้ขับขี่รายอื่นทราบว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ การไม่เปิดไฟฉุกเฉินอาจส่งผลให้รถคันอื่นไม่สังเกตเห็นรถที่จอดอยู่ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุในภายหลัง แม้จะทำประกันภัยรถยนต์ไว้ ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเสียเวลาบนท้องถนนในสถานการณ์เช่นนี้
นานาสาระ : ศาลเจ้า ทำความรู้จักกับสุดยอดศาลเจ้าของญี่ปุ่นที่ได้ขึ้นเป็นมรดกโลก